ด้านชีวภาพ
ด้านประมง ปี พ.ศ.2566
สำรวจและเก็บข้อมูลปฐมภูมิในพื้นที่เป้าหมาย 8 จังหวัด เพื่อการบ่งชี้ ยืนยันพื้นที่ที่มีความสำคัญต่อผลผลิตประมง วงจรชีวิต การผสมพันธุ์ การวางไข่ การขยายพันธุ์ตามธรรมชาติ การอพยพย้ายถิ่น การหลงฤดู และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และการเก็บแหล่งอาหารของปลาในช่วงฤดูน้ำหลากและฤดูแล้ง
จุดเก็บตัวอย่างปลา และแพลงก์ตอนในภาคสนามใน 8 จังหวัด
การศึกษาการอพยพ (Migration) และการแพร่กระจาย (Distribution) ของปลาในแม่น้ำโขงทั้ง
8 จังหวัด เพื่อติดตามผลกระทบว่าโครงการได้ส่งผลกระทบทำให้เกิดการขาดความเชื่อมต่อ หรือขัดขวางเส้นทางการอพยพของปลาในแม่น้ำโขงหรือไม่ โดยการศึกษาจะใช้วิธีการประมวลผลจากข้อมูลที่ได้จากการสำรวจทั้งหมด ตั้งแต่การจับปลาด้วยอวนทับตลิ่ง การสำรวจตลาด และการบันทึกข้อมูลของชาวประมงที่สถานีเชียงคาน และสถานีท่าอุเทน ซึ่งในเบื้องต้น ได้กำหนดชนิดปลาที่จะทำการติดตามชนิดปลาที่จะศึกษาไว้ 2 กลุ่ม (อ้างอิงจากชนิดในรายงานของ MRC Fisheries Program) ดังนี้ กลุ่มที่อยู่ในสถานะคุกคาม จำนวน 2 ชนิด ได้แก่ ปลาหมากผาง (Tenualosa thibeaudaui) และปลายี่สกไทย (Probarbus jullieni) และปลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจจำนวน 3 ชนิด ได้แก่ ปลากาดำ (Labeo chrysophekadian) ปลาตะกาก หรือปลาโจกเขียว (Cosmochilus hardmandi) และ ปลาปากหนวด (Hypsibarbus malcomi)
โดยจะนำข้อมูลที่ได้ดำเนินการศึกษาและบันทึกในฐานข้อมูลผลการศึกษาของโครงการ
มาติดตามกลุ่มปลาที่พบในแต่ละช่วงเวลา และเปรียบเทียบกับข้อมูลในรายงาน Fish migration triggers in the Lower Mekong Basin and other tropical freshwater systems (MRC Technical Paper No.14) ซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2549
พื้นที่เป้าหมาย วิธีการเก็บตัวอย่าง และช่วงเวลาฤดูกาลในการศึกษา
- การจับปลาด้วยอวนทับตลิ่ง (Beach seine)
- การสำรวจตลาด (Market approach)
- การบันทึกการจับปลาประจำวันของชาวประมง
ผลการศึกษาด้านประมง
องค์ประกอบชนิดของแพลงก์ตอนพืชและแพลงก์ตอนสัตว์ในแม่น้ำโขงทั้ง 8 จังหวัด จะเห็นว่ายังมีชนิดและปริมาณที่หลากหลาย โดยพบกลุ่มไดอะตอม (Diatom) และสาหร่ายสีเขียว (Green Algae) เป็นชนิดเด่น สามารถใช้เป็นดัชนีชีวภาพที่สำคัญ และบ่งชี้ความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำได้
ชนิดและความหลากหลายประชาคมของปลาเต็มวัย พบปลาจำนวนทั้งสิ้น 29 วงศ์ 132 ชนิด เป็นปลาพื้นถิ่น จำนวน 127 ชนิด และปลาต่างถิ่นหรือปลาที่ได้จากการเพาะเลี้ยง จำนวน 5 ชนิด โดยพบกลุ่มปลาขาวมีจำนวน 58 ชนิด กลุ่มปลาเทามีจำนวน 51 ชนิด และกลุ่มปลาดำมีจำนวน 23 ชนิด เมื่อเปรียบเทียบปลาทั้ง 3 กลุ่มระหว่างปี พ.ศ. 2559-2565 พบว่าจำนวนชนิดของปลาขาว ปลาเทา และปลาดำที่พบไม่มีความแตกต่างกัน โดยจากการศึกษาชนิดของปลาทั้งหมดที่ได้จากข้อมูลอวนทับตลิ่ง การรวบรวมจากตลาด ชาวประมงและข้อมูลการสัมภาษณ์ชาวประมง ระหว่างปี พ.ศ. 2559-2567 พบชนิดปลาทั้งสิ้น 257 ชนิด แบ่งเป็นจำนวนชนิดปลาที่พบเฉพาะก่อนเปิดใช้เขื่อนหรือก่อนสร้างเขื่อน (พ.ศ. 2559-2562) จำนวน 32 ชนิด ชนิดปลาที่พบเฉพาะหลังเปิดใช้เขื่อนหรือหลังสร้างเขื่อน (พ.ศ. 2563-2566) จำนวน 33 ชนิด และชนิดปลาที่พบตลอดการศึกษา จำนวน 192 ชนิด ซึ่งยังพบการแพร่กระจายองค์ประกอบของปลา และโอกาสในการพบที่หลากหลายแตกต่างกันตามช่วงฤดูกาลและพื้นที่ที่ทำการศึกษา ส่วนค่าดัชนีทางนิเวศวิทยา พบว่า ค่าดัชนีความหลากหลายทางชีวภาพ ดัชนีความเท่าเทียม ดัชนีความมากชนิดของปลา ความอุดมสมบูรณ์ของปลา และความชุกชุมของปลามีความแตกต่างกันตามช่วงฤดูกาลและพื้นที่ที่ทำการศึกษา แสดงให้เห็นถึงความหลากชนิดพันธุ์ของสัตว์น้ำและสามารถบ่งชี้ให้เห็นถึงสภาพทางนิเวศวิทยาของแม่น้ำโขง
ในช่วงฤดูกาล พ.ย. 66 และฤดูกาล พ.ค. 67 มีลักษณะเส้นกราฟน้ำหนัก (Biomass) อยู่ใกล้เส้นกราฟความชุกชม (Abundance) โดยค่า W statistic มีค่าเป็นลบทั้งสองช่วงฤดูกาล โดยมีค่า W statistic เท่ากับ -0.233 และ -0.186 ตามลำดับ แต่ค่าในช่วงพฤษภาคม 2567 มีค่าใกล้เคียง 1 มากกว่า แสดงว่าปลาที่พบมีขนาดใหญ่กว่าช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566
สำหรับอพยพและย้ายถิ่นของกลุ่มปลาขาว ที่มีความสำคัญทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ ปลาหมากผาง ปลายี่สกไทย ปลาเพี้ย หรือปลากาดำ ปลาตะกาก หรือปลาโจกเขียว และปลาปากหนวด ในพื้นที่ทั้ง 8 จังหวัด พบว่าก่อนและหลังการดำเนินการของเขื่อนไซยะบุรี ยังพบการกระจายของปลาทั้ง 5 ชนิด ทั้ง 8 จังหวัด แต่อาจจะมีการความชุกชุมหรือจำนวนตัวที่พบในแต่ละครั้งแตกต่างกัน
ก่อนการดำเนินการของเขื่อนไซยะบุรี
มีขนาดความยาวเฉลี่ย 8.7±4.1 เซนติเมตร และน้ำหนักเฉลี่ย 5.9±9.9 กรัม
พบมากที่สุดช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงน้ำเริ่มขึ้น (T1) โดยจุดที่พบปลาหมากผางชุกชุมมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ คือบริเวณจังหวัดนครพนม
หลังการดำเนินการของเขื่อนไซยะบุรี
มีขนาดความยาวเฉลี่ย 9.5±4.8 เซนติเมตร และน้ำหนักเฉลี่ย 13.7±19.8 กรัม
พบกระจายในหลายจังหวัดมากขึ้นในฤดูน้ำหลากตั้งแต่ หนองคาย บึงกาฬ นครพนม และอุบลราชธานี นอกจากนี้ ในปี 2566 ยังพบบริเวณจังหวัดเลย และหนองคายมากขึ้นในเดือนพฤศจิกายน และมีนาคม ตามลำดับ
ก่อนการดำเนินการของเขื่อนไซยะบุรี
มีขนาดความยาวเฉลี่ย 10.8±5.3 เซนติเมตร และน้ำหนักเฉลี่ย 10.5±11.7 กรัม
พบมากที่สุดช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงน้ำเริ่มขึ้น (T1) โดยจุดที่พบปลายี่สกไทยชุกชุมมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ คือบริเวณจังหวัดนครพนม และอุบลราชธานี
หลังการดำเนินการของเขื่อนไซยะบุรี
มีขนาดความยาวเฉลี่ย 12.5±14.2 เซนติเมตร และน้ำหนักเฉลี่ย 28.7±31.9 กรัม
พบน้อยลงระหว่างปี 2563-2564 นอกจากนี้ ในปี 2566 ยังพบว่าเริ่มมีการสำรวจพบปลายี่สกไทย บริเวณจังหวัดมุกดาหาร และอุบลราชธานีเพิ่มขึ้นมากในเดือนกุมภาพันธ์ (ใกล้เคียงกับ
ช่วงเวลาที่มีกิจกรรมปล่อยพันธุ์ปลายี่สกไทย ตามแผนฟื้นฟูปลายี่สกไทย ของกรมประมง)
ก่อนการดำเนินการของเขื่อนไซยะบุรี
มีขนาดความยาวเฉลี่ย 10.7±4.2 เซนติเมตร และน้ำหนักเฉลี่ย 19.3±24.7 กรัม
พบมากที่สุดช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงน้ำเริ่มขึ้น (T1) โดยจุดที่พบปลากาดำบ่อยที่สุดคือบริเวณ
จังหวัดบึงกาฬ
หลังการดำเนินการของเขื่อนไซยะบุรี
มีขนาดความยาวเฉลี่ย 9.9±2.7 เซนติเมตร และน้ำหนักเฉลี่ย 14.4±10.3 กรัม
ไม่ปรากฎปลากาดำในช่วงเวลาที่มีการเก็บตัวอย่างในระหว่างปี 2563-2565 และเริ่มมีการสำรวจพบปลากาดำอีกครั้งในปี 2566 ช่วง
ก่อนการดำเนินการของเขื่อนไซยะบุรี
มีขนาดความยาวเฉลี่ย 11.8±5.1 เซนติเมตร (ไม่มีการบันทึกข้อมูลน้ำหนักในช่วงเวลาการศึกษาดังกล่าว) พบมากที่สุดช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงน้ำเริ่มขึ้น (T1) โดยจุดที่พบปลาตะกากบ่อยที่สุดคือบริเวณจังหวัดหนองคาย
หลังการดำเนินการของเขื่อนไซยะบุรี
มีขนาดความยาวเฉลี่ย 12.3±6.5 เซนติเมตร และน้ำหนักเฉลี่ย 36.7±46.8 กรัม
พบบ่อยที่สุดคือบริเวณจังหวัดนครพนม และมุกดาหาร
ก่อนการดำเนินการของเขื่อนไซยะบุรี
มีขนาดความยาวเฉลี่ย 7.3±3.8 เซนติเมตร และน้ำหนักเฉลี่ย 14.3±27.6 กรัม พบมากที่สุดช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงน้ำเริ่มขึ้น (T1) โดยจุดที่พบบ่อยที่สุดคือบริเวณจังหวัดหนองคาย
หลังการดำเนินการของเขื่อนไซยะบุรี
มีขนาดความยาวเฉลี่ย 10.9±6.3 เซนติเมตร และน้ำหนักเฉลี่ย 38.7±43.3 กรัม พบบ่อยที่สุดคือบริเวณจังหวัดนครพนม และมุกดาหาร
ส่วนการการศึกษาค่าดัชนีทางชีววิทยา จากการสำรวจชีววิทยาการสืบพันธุ์ของปลาปากหนวด (Hypsibarbus malcomi) ในแม่น้ำโขง จำนวน 65 ตัว ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2567 บริเวณอำเภอเชียงคาน และอำเภอท่าอุเทน พบปลาเพศเมียที่มีไข่ จำนวน 19 ตัว และปลาเพศผู้ที่มีการพัฒนาของอัณฑะ จำนวน 13 ตัว คิดเป็นร้อยละ 50 ของจำนวนปลาทั้งหมด ซึ่งยังเป็นสภาวะปกติ เพราะปลาปากหนวดส่วนใหญ่มีการสืบพันธุ์วางไข่ในระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม โดยทั่วไปในธรรมชาติปลาจะมีการสืบพันธุ์วางไข่ในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ของทุกปี
ทั้งนี้ ความเสี่ยงของพื้นที่ที่มีความสำคัญด้านประมงและนิเวศวิทยาทางน้ำ โดยประเมินจากการมีพื้นที่บริเวณที่เป็นแหล่งจับคู่ผสมพันธุ์ของปลา บริเวณที่มีการประกอบอาชีพการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และบริเวณที่มีการทำการประมงที่พบชนิดปลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ พบว่าพื้นที่ที่มีระดับความสำคัญสูง คือ มีความสำคัญของ 3 ปัจจัย ครบทั้ง 3 ด้าน มีจำนวน 13 พื้นที่ ได้แก่ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย อำเภอเชียงคานและอำเภอปากชม จังหวัดเลย อำเภอศรีเชียงใหม่และอำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ อำเภอธาตุพนมและอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม อำเภอเมืองมุกดาหารและอำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ อำเภอนาตาล และอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งพื้นที่เหล่านี้ หากได้รับผลกระทบจนเกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงลบจะส่งผลต่อระบบนิเวศทางการประมง ความมั่นคงทางอาหาร การประกอบอาชีพทางการประมง และเศรษฐกิจของชุมชนริมฝั่งแม่น้ำโขง