หลักการและแนวทาง
หลักการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน ปีงบประมาณ พ.ศ.2563
1. การศึกษาผลกระทบด้านอัตราการไหลของน้ำและระดับน้ำ
1) ดำเนินการรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลระดับน้ำและอัตราการไหลของน้ำ ของพื้นที่ที่มีแนวโน้มได้รับความเสี่ยงด้านระดับน้ำและอัตราการไหลที่คาดการณ์จากการศึกษาปีก่อนหน้า โดยได้รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทุติยภูมิของสถานีวัดระดับน้ำหลักของสำนักวิจัย พัฒนาและอุทกวิทยา กรมทรัพยากรน้ำ และทบทวนข้อมูลการศึกษาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
2) คำนวณหาค่าเฉลี่ยรายปี ค่าเฉลี่ยในฤดูแล้ง ค่าเฉลี่ยในฤดูน้ำหลาก และช่วงระยะเวลาการเปลี่ยนแปลงของอัตราการไหลของน้ำจากฤดูแล้งไปเป็นฤดูน้ำหลาก และจากฤดูน้ำหลากไปเป็นฤดูแล้ง (Transition season) ตามลักษณะการเปลี่ยนแปลงการไหลของแม่น้ำโขงตามฤดูกาล และหาค่าต่ำสุด ค่าสูงสุดของอัตราการไหลและระดับน้ำรายเดือนของแต่ละช่วงเวลา แสดงดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 ระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดตามธรรมชาติของอุทกวิทยาของแม่น้ำโขงตามฤดูกาล
ฤดูกาล | ช่วงเริ่มต้น (ตามธรรมชาติ) | ช่วงสิ้นสุด (ตามธรรมชาติ) |
ฤดูแล้ง | ปลายเดือนพฤศจิกายน ถึงต้นเดือนธันวาคม | เดือนพฤษภาคม สำหรับลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง |
ช่วงเปลี่ยนแปลงฤดูกาล 1 | ประมาณ 2-3 สัปดาห์ระหว่างเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน | |
ฤดูน้ำหลาก | เดือนมิถุนายน | ต้นเดือนพฤศจิกายนในพื้นที่ที่อยู่ตอนบน |
ช่วงเปลี่ยนแปลงฤดูกาล 2 | ประมาณ 1-2 สัปดาห์ระหว่างกลางเดือนพฤศจิกายน |
ที่มา : ตารางระยะเวลาอ้างอิงจากตารางที่ 5 Characteristics of bio-hydrological seasons ในรายงาน The Flow of Mekong, 2009
3) เปรียบเทียบและปรับปรุงข้อมูลการเปลี่ยนแปลงอัตราการไหล และระดับน้ำเฉลี่ย โดยแบ่งช่วงเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูลออกเป็น 3 ช่วงเวลา ณ ตำแหน่งพื้นที่ต่าง ๆ จากต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำของแม่น้ำโขงสายประธานในอาณาเขตประเทศไทย เพื่อใช้เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาที่ศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานของเขื่อนไฟฟ้าในแม่น้ำโขงสายประธาน ได้แก่
- ช่วงปีก่อนที่จะมีการพัฒนาเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายประธาน ช่วงปี พ.ศ. 2528–2534
- ช่วงปีหลังมีการพัฒนาเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายประมาณตอนบน แต่ก่อนที่เขื่อนบนแม่น้ำโขง สายประธานตอนล่าง เขื่อนแรกของ สปป.ลาว (เขื่อนไซยะบุรี) เปิดดำเนินการ ช่วงปี พ.ศ. 2535-2561
- ช่วงปีหลังจากที่เขื่อนบนแม่น้ำโขงสายประธานตอนล่าง เขื่อนแรกของ สปป.ลาว (เขื่อนไซยะบุรี) เปิดดำเนินการ พ.ศ. 2562-ปัจจุบัน หรือข้อมูลปีปัจจุบันล่าสุดที่มี ตัวอย่างดังรูปที่ 1
รูปที่ 1 อัตราการไหลเฉลี่ยรายวันของแม่น้ำโขง เปรียบเทียบช่วงปีก่อนมีเขื่อน (1985-1991) และหลังมีเขื่อน (2014-2015) ในแม่น้ำโขงสายประธาน ณ สถานีอุทกวิทยา เชียงแสน
ที่มา : รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาผลกระทบและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน จากการพัฒนาเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขงสายประธาน (2561)
4) ประเมินและติดตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงพื้นที่มีแนวโน้มได้รับความเสี่ยงด้านอัตราการไหลและระดับน้ำ ว่ามีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงจากเดิมหรือไม่ โดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์การกำหนดพื้นที่ ที่มีแนวโน้มได้รับความเสี่ยงที่กำหนดไว้ ซึ่งเปรียบเทียบระหว่างช่วงเวลาของการดำเนินงานของเขื่อนไฟฟ้า พลังน้ำในแม่น้ำโขงสายประธาน ดังตารางที่ 2
ตารางที่ 2 เกณฑ์การประเมินพื้นที่มีแนวโน้มได้รับความเสี่ยงด้านอัตราการไหลและระดับน้ำเปรียบเทียบในช่วงเวลาการดำเนินงานของเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขงสายประธาน
ระดับแนวโน้ม | ระดับการเปลี่ยนแปลง |
ระดับแนวโน้มเสี่ยงน้อยมาก | 0-20% |
ระดับแนวโน้มเสี่ยงน้อย | 21-40% |
ระดับแนวโน้มเสี่ยงปานกลาง | 41-60% |
ระดับแนวโน้มเสี่ยงสูง | 61-80% |
ระดับแนวโน้มเสี่ยงสูงมาก | มากกว่า 80% |
2. การศึกษาผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงของตลิ่งและการพัดพาตะกอน
ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของตลิ่งริมแม่น้ำโขงสายประธานของประเทศไทย โดยเลือกใช้เทคโนโลยีการสำรวจระยะไกล (Remote Sensing) จากภาพถ่ายดาวเทียมมาใช้ในการศึกษา ร่วมกับการประมวลผลและจัดทำแผนที่ด้วยโปรแกรมประยุกต์ด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ โดยเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของสัณฐานของตลิ่งริมน้ำโขงสายประธานในเขตประเทศไทยทั้ง 8 จังหวัด เลือกช่วงเวลาในการเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงรายปี ระหว่างช่วงฤดูแล้งในอดีตและในปีปัจจุบันเพื่อประเมินผลกระทบจากการกัดเซาะของกระแสน้ำโขงต่อพื้นที่ริมตลิ่งบริเวณริมฝั่งขวาแม่น้ำโขง โดยใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม Landsat ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Geological Survey : USGS) ภาพถ่ายดาวเทียมดังกล่าว มีคุณลักษณะของพื้นที่ระวางกว้าง 183 กิโลเมตรยาว 170 กิโลเมตร และมีความละเอียดของจุดภาพที่ 30×30 เมตร มาทำการวิเคราะห์ประเมินตำแหน่ง พิกัดและขนาดของพื้นที่ริมตลิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลง ใช้ชุดข้อมูลอนุกรมเวลาของภาพถ่ายปีต่าง ๆ เปรียบเทียบกัน(Time Series) โดยมีรายละเอียดดังนี้
1) การรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิ
- ทบทวนรายงานการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาด้านสัณฐานตลิ่งริมน้ำโขง ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และเอกสารงานศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้อง
- ข้อมูลพื้นฐานทางภูมิศาสตร์ เช่น ขอบเขตจังหวัด/อำเภอ/ตำบล ในพื้นที่ศึกษา
- ภาพถ่ายดาวเทียม Landsat ในพื้นที่ศึกษาและช่วงเวลาเหมาะสม
2) การวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม
- วิเคราะห์ภาพถ่ายข้อมูลดาวเทียมในแต่ละปี เพิ่มเติมจากการศึกษาก่อนหน้าและปรับปรุงจนถึงภาพถ่ายปี พ.ศ. 2563
- ข้อมูลดาวเทียม Landsat Level 1A ที่มีการปรับแก้ความคลาดเคลื่อนเชิงรังสี (Radiometric Correction) และ การปรับแก้ความคลาดเคลื่อนเชิงเรขาคณิต (Geometric Correction) ซึ่งจะใช้ข้อมูลดาวเทียมในปี พ.ศ. 2534 ซึ่งเป็นปีก่อนที่จะมีการพัฒนาเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายประธานมาเป็นเส้นฐานหลัก (Baseline) ของตลิ่งแม่น้ำโขง เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมในแต่ละปีที่เป็นข้อมูลปีปัจจุบันที่สุด
ตารางที่ 3 ข้อมูลดาวเทียมต่างๆ และช่วงปีและเดือนที่นำภาพมาใช้ในการศึกษานี้
ดาวเทียม | ปี พ.ศ. ที่นำภาพมาใช้ | ช่วงเดือน | หมายเหตุ |
Landsat 5 | พ.ศ. 2534 – พ.ศ. 2544 | มกราคม – เมษายน | – |
Landsat 7 | พ.ศ. 2545 – พ.ศ. 2546 | มกราคม – เมษายน | – |
Landsat 5 | พ.ศ. 2547 – พ.ศ. 2554 | มกราคม – เมษายน | Landsat 7 Sensor เสียหาย |
– | พ.ศ. 2555 – พ.ศ. 2556 | มกราคม – เมษายน | ไม่มีข้อมูล |
Landsat 8 | พ.ศ. 2557 – พ.ศ. 2563 | มกราคม – เมษายน | – |
3. การจำแนกด้วยดัชนีผลต่างความชื้น (The Normalize Difference Water Index : NDWI) เป็นการนำภาพถ่ายดาวเทียมในแต่ละปีมาแยกระหว่างพื้นดินกับพื้นที่ชุ่มน้ำ โดยการคำนวณ ค่าการสะท้อนแสงในรูปตัวเลข (Digital Number) มีค่าอยู่ที่ -1 ถึง 1 ในที่นี้ คือ การเข้าสัดส่วนซึ่งกันและกันแล้วให้ผลลัพธ์ในการจำแนกในบริเวณที่เป็นน้ำ และพื้นที่ที่ไม่ใช่น้ำได้อย่างชัดเจน ด้วยสมการ
เมื่อ Green = ช่วงคลื่นสีเขียว
NIR = ช่วงคลื่นอินฟราเรดใกล้
4. จำแนกข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ด้วยการจำแนกประเภทข้อมูลแบบควบคุมจุดภาพ(Supervised Classification) แบบความน่าจะเป็นสูงสุด (Maximum Likelihood)
3) ช่วงเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ตลิ่ง
กลุ่มที่ปรึกษาได้ดำเนินการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ริมตลิ่งแม่น้ำโขงด้วยเทคนิค Overlays Analysis จากข้อมูลแนวเส้นแม่น้ำโขงที่ได้ จากการใช้สมการ Normalize Difference Water Index : NDWI ภายใต้แนวคิดที่จะอ้างอิงแนวแม่น้ำโขงเส้นหลัก ปี พ.ศ. 2534 ซึ่งเป็นก่อนที่จะมีการพัฒนาเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายประธาน โดยดำเนินการรวบรวมข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมเพิ่มเติมให้เป็นปัจจุบันมากที่สุดที่มีการเผยแพร่ในเว็บไซต์ที่เป็นทางการของกรมสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Geological Survey : USGS) เพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ริมตลิ่งแม่น้ำโขงให้เป็นปัจจุบันมากที่สุด และปรับเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นการติดตามการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ริมตลิ่งแม่น้ำโขงรายปีจากข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม โดยแบ่งช่วงเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูลตามช่วงเวลาของการดำเนินการการพัฒนาเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายประธาน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา ดังนี้
- ช่วงปีก่อนที่จะมีการพัฒนาเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายประธาน ช่วงปี พ.ศ. 2528–2534
- ช่วงปีหลังมีการพัฒนาเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายประมาณตอนบน แต่ก่อนที่เขื่อนบนแม่น้ำโขงสายประธานตอนล่าง เขื่อนแรกของ สปป.ลาว (เขื่อนไซยะบุรี) เปิดดำเนินการ ช่วงปี พ.ศ. 2535-2561
- ช่วงปีหลังจากที่เขื่อนบนแม่น้ำโขงสายประธานตอนล่าง เขื่อนแรกของสปป.ลาว (เขื่อนไซยะบุรี) เปิดดำเนินการ (พ.ศ. 2562-2563)
ภายหลังจากดำเนินการหาการเปลี่ยนแปลงของริมตลิ่งแม่น้ำโขงเรียบร้อยแล้ว กลุ่มที่ปรึกษาได้นำผลการศึกษาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มาวิเคราะห์ปรับปรุงข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของริมตลิ่งแม่น้ำโขงให้เป็นปัจจุบัน และปรับปรุงการกำหนดเกณฑ์ประเมินพื้นที่มีแนวโน้มได้รับความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงของตลิ่ง ให้มีความเหมาะสมมากที่สุด
3. การศึกษาผลกระทบด้านคุณภาพน้ำ
การศึกษาแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การเก็บและวิเคราะห์ตัวอย่างคุณภาพน้ำผิวดิน และการรวบรวมข้อมูลคุณภาพน้ำผิวดินของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง รายละเอียดแต่ละวิธีแสดงดังนี้ 1) การเก็บและวิเคราะห์ตัวอย่างคุณภาพน้ำผิวดิน
- อุณหภูมิน้ำ (Temperature)
- ความเป็นกรด-ด่าง (pH)
- ปริมาณออกซิเจนละลาย (Dissolved Oxygen)
- การนำไฟฟ้า (Conductivity)
- ความขุ่น (Turbidity)
- สารแขวนลอย (TSS)
- แอมโมเนีย-ไนโตรเจน (NH3-N)
- ไนไตรท์-ไนโตรเจน (NO2– -N)
- ไนเตรท-ไนโตรเจน (NO3–-N)
- ฟอสเฟต
- ฟอสฟอรัสทั้งหมด (T-P)
2) การวิเคราะห์ข้อมูล
- นำข้อมูลปฐมภูมิจากการเก็บตัวอย่างมาเปรียบเทียบกับมาตรฐานตามประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2537) เรื่อง กำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 111 ตอนที่ 16 ง ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537 สำหรับคุณภาพน้ำผิวดินประเภทที่ 2
- การประเมินดัชนีคุณภาพน้ำ ตามเกณฑ์ของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงสำหรับการประเมินคุณภาพน้ำสำหรับสิ่งมีชีวิตในน้ำ (Water Quality Index for Aquatic life; WQIal) [1] โดยดัชนีที่นำมาใช้ประเมินค่า WQIal ประกอบด้วย DO, pH, NH3, Conductivity, NO3– และ total-P สามารถคำนวณได้ดังสมการ และหลังจากนั้นจะทำการประเมินการจัดระดับชั้นดัชนีคุณภาพน้ำตามตารางที่ 4
โดย pi คือ ค่าคะแนนของตัวอย่างน้ำในวันที่ i โดยหากค่าของแต่ละพารามิเตอร์อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน จะถือว่ามีค่าถ่วงน้ำหนัก หากไม่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานจะถือว่าค่าคะแนนเป็น 0
n คือ จำนวนตัวอย่างที่เก็บในปีนั้น M คือ ค่าสูงสุดที่เป็นไปได้ของคะแนนจากการวัดได้ในปีนั้น ตารางที่ 4 การจัดระดับชั้นดัชนีคุณภาพน้ำสำหรับการป้องกันสิ่งมีชีวิตในน้ำ
ค่าคะแนน | ระดับคุณภาพน้ำ |
9.5 ≤ WQI ≤ 10.0 | A: คุณภาพดีมาก |
8.0 ≤ WQI ≤ 9.5 | B: คุณภาพดี |
6.5 ≤ WQI ≤ 8.0 | C: คุณภาพปานกลาง |
4.5 ≤ WQI ≤ 6.5 | D: คุณภาพไม่ดี |
WQI ‹ 4.0 | E: คุณภาพไม่ดีมาก |
ที่มา : MRC Technical Paper No.60, 2016
4. การศึกษาผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคม
รวบรวมข้อมูลการศึกษาเศรษฐกิจ สังคม ด้านวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ความเปราะบาง และการปรับตัวในปัจจุบันที่อยู่ในพื้นที่ศึกษา และใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานประกอบการศึกษาและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ แนวทางในการศึกษาข้อมูลปฐมภูมิเป็นการสำรวจเชิงปริมาณ (Quantitative survey) โดยใช้แบบสอบถามที่ปรับปรุงเครื่องมือ SIMVA ให้เข้ากับวัตถุประสงค์การวิจัยและบริบทของพื้นที่ ประกอบด้วย
1) การสำรวจระดับหมู่บ้าน โดยผู้ให้ข้อมูลแบบเก็บข้อมูลหมู่บ้าน คือ ผู้ใหญ่บ้านหรือผู้นำหมู่บ้าน และ 2) การสำรวจระดับครัวเรือน โดยผู้ให้ข้อมูลแบบสอบถามครัวเรือน คือ หัวหน้าครัวเรือน ในกรณีที่ไม่พบหัวหน้าครัวเรือนให้ใช้แบบสอบถามกับสมาชิกอื่นในครัวเรือน ซึ่งเป็นผู้ที่สามารถให้ข้อมูลของครัวเรือนได้
5. การศึกษาผลกระทบด้านการให้บริการระบบนิเวศ
การศึกษาผลกระทบของการให้บริการระบบนิเวศจากการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขงในช่วงก่อน (ปี พ.ศ. 2558-2561) และหลังการดำเนินการเปิดใช้งานเขื่อน ไซยะบุรีอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2562 ถึงปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2563 การศึกษานี้ดำเนินการเก็บข้อมูลการสัมภาษณ์ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2563 ถึง เดือนมกราคม 2564 จากผู้ได้รับผลกระทบหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการใช้ประโยชน์ของระบบนิเวศแม่น้ำโขง ซึ่งกำหนดเกณฑ์การคัดเลือกกลุ่มประชากรที่มีพื้นที่ติดแม่น้ำโขงซึ่งมีชุมชนหนาแน่น มีการพึ่งพาการใช้ประโยชน์จากการให้บริการระบบนิเวศแม่น้ำโขงมีแนวโน้มได้รับความเสี่ยงจากผลกระทบข้ามพรมแดน และอยู่ในส่วนของแม่น้ำโขงตอนบนของประเทศไทยใกล้กับการพัฒนาเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขงสายประธาน ซึ่งประกอบด้วย 3 พื้นที่ ได้แก่
1) อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
2) อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย
3) อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม
การศึกษาได้ดำเนินการสุ่มสัมภาษณ์แบบเจาะจง (Purposive Sampling) จากผู้นำชุมชนและประชากรระดับครัวเรือน โดยใช้เครื่องมือแบบสอบถาม (ปรับปรุงจากเครื่องมือ แบบสอบถาม Social Impact Monitoring and Vulnerability Assessment (SIMVA) 2561
6. การประเมินตัวชี้วัดและแผนป้องกันแก้ไขและติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม
ดำเนินการโดยพิจารณาจากชุดข้อมูลต่าง ๆ จากการศึกษาติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน ของโครงการศึกษาฯ ซึ่งได้ดำเนินงานต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 ที่ผ่านมา ว่าควรนำมาใช้กำหนดเป็นตัวชี้วัดอะไร โดยประเมินว่า สามารถใช้บ่งชี้ สถานการณ์ ผลกระทบ และการตอบสนองของการเปลี่ยนแปลง ด้านทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจและสังคมของแม่น้ำโขงโดยเฉพาะในอาณาเขตของประเทศไทย และมีความเหมาะสมที่สมควรใช้ในระยะยาวอย่างต่อเนื่องในการติดตามประเมินผลกระทบข้ามพรมแดน ตามขอบเขตการดำเนินงาน TOR ได้พิจารณาประเมินตัวชี้วัดว่า มีความสอดคล้องกับกรอบงานตัวชี้วัดสำหรับลุ่มน้ำโขงที่กำหนดโดยคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง เพื่อให้การกำหนดตัวชี้วัดของการติดตามตรวจสอบผลกระทบข้ามพรมแดนดังกล่าว มีความเชื่อมโยงกับตัวชี้วัดด้านการบริหารจัดการลุ่มน้ำของประเทศไทยในมิติต่าง ๆ ตั้งแต่ด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม กำหนดให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) โดยในกรอบงานตัวชี้วัดของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กำหนดไว้ 3 ระดับ แสดงดังรูปที่ 2 ได้แก่
1) ตัวชี้วัดยุทธศาสตร์ (Strategic Indicators)
2) ตัวชี้วัดการประเมิน (Assessment Indicators)
3) ดัชนีในการติดตาม (Monitoring Parameters)
รูปที่ 2 กรอบงานตัวชี้วัดของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง 3 ระดับ
ที่มา : รายงาน Mekong River Basin Indicator Framework for informing the management of the Mekong River Basin 2019
7. การจัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเผยแพร่ผลการศึกษา
การจัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเผยแพร่ผลการศึกษา ในพื้นที่ศึกษา โดยประกอบด้วยผู้แทนจาก 8 จังหวัดในพื้นที่ศึกษา เพื่อส่งเสริมการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคประชาชนและภาครัฐในการติดตามตรวจสอบฯ โดยยังคงเน้นการให้ความรู้ข้อมูลจากการศึกษาที่ถูกต้อง น่าเชื่อถือ และให้ประชาชนได้มีเวทีแสดงความเห็น และเกิดกระบวนการเรียนรู้ การออกแบบโจทย์คำถาม การใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น การติดตามและเฝ้าระวัง การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร เพื่อให้ได้ผลการศึกษาที่มีพื้นฐานจากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับ และนำไปสู่การพัฒนาแนวทางการศึกษาผลกระทบและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนจากโครงการไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขงสายประธาน ทั้งในปัจจุบันและอนาคตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
รูปที่ 1 อัตราการไหลเฉลี่ยรายวันของแม่น้ำโขง เปรียบเทียบช่วงปีก่อนมีเขื่อน (1985-1991) และหลังมีเขื่อน (2014-2015) ในแม่น้ำโขงสายประธาน ณ สถานีอุทกวิทยา เชียงแสน
ที่มา : รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาผลกระทบและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน
จากการพัฒนาเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขงสายประธาน (2561)
4) ประเมินและติดตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงพื้นที่มีแนวโน้มได้รับความเสี่ยงด้านอัตราการไหลและระดับน้ำ ว่ามีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงจากเดิมหรือไม่ โดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์การกำหนดพื้นที่
ที่มีแนวโน้มได้รับความเสี่ยงที่กำหนดไว้ ซึ่งเปรียบเทียบระหว่างช่วงเวลาของการดำเนินงานของเขื่อนไฟฟ้า
พลังน้ำในแม่น้ำโขงสายประธาน ดังตารางที่ 2
ตารางที่ 2 เกณฑ์การประเมินพื้นที่มีแนวโน้มได้รับความเสี่ยงด้านอัตราการไหลและระดับน้ำเปรียบเทียบในช่วงเวลาการดำเนินงานของเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขงสายประธาน
ระดับแนวโน้ม | ระดับการเปลี่ยนแปลง |
ระดับแนวโน้มเสี่ยงน้อยมาก | 0-20% |
ระดับแนวโน้มเสี่ยงน้อย | 21-40% |
ระดับแนวโน้มเสี่ยงปานกลาง | 41-60% |
ระดับแนวโน้มเสี่ยงสูง | 61-80% |
ระดับแนวโน้มเสี่ยงสูงมาก | มากกว่า 80% |
2. การศึกษาผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงของตลิ่งและการพัดพาตะกอน
ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของตลิ่งริมแม่น้ำโขงสายประธานของประเทศไทย โดยเลือกใช้เทคโนโลยีการสำรวจระยะไกล (Remote Sensing) จากภาพถ่ายดาวเทียมมาใช้ในการศึกษา ร่วมกับการประมวลผลและจัดทำแผนที่ด้วยโปรแกรมประยุกต์ด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ โดยเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของสัณฐานของตลิ่งริมน้ำโขงสายประธานในเขตประเทศไทยทั้ง 8 จังหวัด เลือกช่วงเวลาในการเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงรายปี ระหว่างช่วงฤดูแล้งในอดีตและในปีปัจจุบันเพื่อประเมินผลกระทบจากการกัดเซาะของกระแสน้ำโขงต่อพื้นที่ริมตลิ่งบริเวณริมฝั่งขวาแม่น้ำโขง โดยใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม Landsat ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Geological Survey : USGS) ภาพถ่ายดาวเทียมดังกล่าว มีคุณลักษณะของพื้นที่ระวางกว้าง 183 กิโลเมตรยาว 170 กิโลเมตร และมีความละเอียดของจุดภาพที่ 30×30 เมตร มาทำการวิเคราะห์ประเมินตำแหน่ง พิกัดและขนาดของพื้นที่ริมตลิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลง ใช้ชุดข้อมูลอนุกรมเวลาของภาพถ่ายปีต่าง ๆ เปรียบเทียบกัน(Time Series) โดยมีรายละเอียดดังนี้
1) การรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิ
- ทบทวนรายงานการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาด้านสัณฐานตลิ่งริมน้ำโขง ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และเอกสารงานศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้อง
- ข้อมูลพื้นฐานทางภูมิศาสตร์ เช่น ขอบเขตจังหวัด/อำเภอ/ตำบล ในพื้นที่ศึกษา
- ภาพถ่ายดาวเทียม Landsat ในพื้นที่ศึกษาและช่วงเวลาเหมาะสม
2) การวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม
- วิเคราะห์ภาพถ่ายข้อมูลดาวเทียมในแต่ละปี เพิ่มเติมจากการศึกษาก่อนหน้าและปรับปรุงจนถึงภาพถ่ายปี พ.ศ. 2563
- ข้อมูลดาวเทียม Landsat Level 1A ที่มีการปรับแก้ความคลาดเคลื่อนเชิงรังสี (Radiometric Correction) และ การปรับแก้ความคลาดเคลื่อนเชิงเรขาคณิต (Geometric Correction) ซึ่งจะใช้ข้อมูลดาวเทียมในปี พ.ศ. 2534 ซึ่งเป็นปีก่อนที่จะมีการพัฒนาเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายประธานมาเป็นเส้นฐานหลัก (Baseline) ของตลิ่งแม่น้ำโขง เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมในแต่ละปีที่เป็นข้อมูลปีปัจจุบันที่สุด
ตารางที่ 3 ข้อมูลดาวเทียมต่างๆ และช่วงปีและเดือนที่นำภาพมาใช้ในการศึกษานี้
ดาวเทียม | ปี พ.ศ. ที่นำภาพมาใช้ | ช่วงเดือน | หมายเหตุ |
Landsat 5 | พ.ศ. 2534 – พ.ศ. 2544 | มกราคม – เมษายน | – |
Landsat 7 | พ.ศ. 2545 – พ.ศ. 2546 | มกราคม – เมษายน | – |
Landsat 5 | พ.ศ. 2547 – พ.ศ. 2554 | มกราคม – เมษายน | Landsat 7 Sensor เสียหาย |
– | พ.ศ. 2555 – พ.ศ. 2556 | มกราคม – เมษายน | ไม่มีข้อมูล |
Landsat 8 | พ.ศ. 2557 – พ.ศ. 2563 | มกราคม – เมษายน | – |
3. การจำแนกด้วยดัชนีผลต่างความชื้น (The Normalize Difference Water Index : NDWI) เป็นการนำภาพถ่ายดาวเทียมในแต่ละปีมาแยกระหว่างพื้นดินกับพื้นที่ชุ่มน้ำ โดยการคำนวณ
ค่าการสะท้อนแสงในรูปตัวเลข (Digital Number) มีค่าอยู่ที่ -1 ถึง 1 ในที่นี้ คือ การเข้าสัดส่วนซึ่งกันและกันแล้วให้ผลลัพธ์ในการจำแนกในบริเวณที่เป็นน้ำ และพื้นที่ที่ไม่ใช่น้ำได้อย่างชัดเจน ด้วยสมการ
เมื่อ Green = ช่วงคลื่นสีเขียว
NIR = ช่วงคลื่นอินฟราเรดใกล้
4. จำแนกข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ด้วยการจำแนกประเภทข้อมูลแบบควบคุมจุดภาพ(Supervised Classification) แบบความน่าจะเป็นสูงสุด (Maximum Likelihood)
3) ช่วงเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ตลิ่ง
กลุ่มที่ปรึกษาได้ดำเนินการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ริมตลิ่งแม่น้ำโขงด้วยเทคนิค Overlays Analysis จากข้อมูลแนวเส้นแม่น้ำโขงที่ได้ จากการใช้สมการ Normalize Difference Water Index : NDWI ภายใต้แนวคิดที่จะอ้างอิงแนวแม่น้ำโขงเส้นหลัก ปี พ.ศ. 2534 ซึ่งเป็นก่อนที่จะมีการพัฒนาเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายประธาน โดยดำเนินการรวบรวมข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมเพิ่มเติมให้เป็นปัจจุบันมากที่สุดที่มีการเผยแพร่ในเว็บไซต์ที่เป็นทางการของกรมสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Geological Survey : USGS) เพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ริมตลิ่งแม่น้ำโขงให้เป็นปัจจุบันมากที่สุด และปรับเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นการติดตามการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ริมตลิ่งแม่น้ำโขงรายปีจากข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม โดยแบ่งช่วงเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูลตามช่วงเวลาของการดำเนินการการพัฒนาเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายประธาน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา ดังนี้
- ช่วงปีก่อนที่จะมีการพัฒนาเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายประธาน ช่วงปี พ.ศ. 2528–2534
- ช่วงปีหลังมีการพัฒนาเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายประมาณตอนบน แต่ก่อนที่เขื่อนบนแม่น้ำโขงสายประธานตอนล่าง เขื่อนแรกของ สปป.ลาว (เขื่อนไซยะบุรี) เปิดดำเนินการ ช่วงปี พ.ศ. 2535-2561
- ช่วงปีหลังจากที่เขื่อนบนแม่น้ำโขงสายประธานตอนล่าง เขื่อนแรกของสปป.ลาว (เขื่อนไซยะบุรี) เปิดดำเนินการ (พ.ศ. 2562-2563)
ภายหลังจากดำเนินการหาการเปลี่ยนแปลงของริมตลิ่งแม่น้ำโขงเรียบร้อยแล้ว กลุ่มที่ปรึกษาได้นำผลการศึกษาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มาวิเคราะห์ปรับปรุงข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของริมตลิ่งแม่น้ำโขงให้เป็นปัจจุบัน และปรับปรุงการกำหนดเกณฑ์ประเมินพื้นที่มีแนวโน้มได้รับความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงของตลิ่ง ให้มีความเหมาะสมมากที่สุด
3. การศึกษาผลกระทบด้านคุณภาพน้ำ
การศึกษาแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การเก็บและวิเคราะห์ตัวอย่างคุณภาพน้ำผิวดิน และการรวบรวมข้อมูลคุณภาพน้ำผิวดินของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง รายละเอียดแต่ละวิธีแสดงดังนี้
1) การเก็บและวิเคราะห์ตัวอย่างคุณภาพน้ำผิวดิน
- อุณหภูมิน้ำ (Temperature)
- ความเป็นกรด-ด่าง (pH)
- ปริมาณออกซิเจนละลาย (Dissolved Oxygen)
- การนำไฟฟ้า (Conductivity)
- ความขุ่น (Turbidity)
- สารแขวนลอย (TSS)
- แอมโมเนีย-ไนโตรเจน (NH3-N)
- ไนไตรท์-ไนโตรเจน (NO2– -N)
- ไนเตรท-ไนโตรเจน (NO3–-N)
- ฟอสเฟต
- ฟอสฟอรัสทั้งหมด (T-P)
2) การวิเคราะห์ข้อมูล
- นำข้อมูลปฐมภูมิจากการเก็บตัวอย่างมาเปรียบเทียบกับมาตรฐานตามประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2537) เรื่อง กำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 111 ตอนที่ 16 ง ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537 สำหรับคุณภาพน้ำผิวดินประเภทที่ 2
- การประเมินดัชนีคุณภาพน้ำ ตามเกณฑ์ของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงสำหรับการประเมินคุณภาพน้ำสำหรับสิ่งมีชีวิตในน้ำ (Water Quality Index for Aquatic life; WQIal) [1] โดยดัชนีที่นำมาใช้ประเมินค่า WQIal ประกอบด้วย DO, pH, NH3, Conductivity, NO3– และ total-P สามารถคำนวณได้ดังสมการ และหลังจากนั้นจะทำการประเมินการจัดระดับชั้นดัชนีคุณภาพน้ำตามตารางที่ 4
โดย pi คือ ค่าคะแนนของตัวอย่างน้ำในวันที่ i โดยหากค่าของแต่ละพารามิเตอร์อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน จะถือว่ามีค่าถ่วงน้ำหนัก หากไม่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานจะถือว่าค่าคะแนนเป็น 0
n คือ จำนวนตัวอย่างที่เก็บในปีนั้น
M คือ ค่าสูงสุดที่เป็นไปได้ของคะแนนจากการวัดได้ในปีนั้น
ตารางที่ 4 การจัดระดับชั้นดัชนีคุณภาพน้ำสำหรับการป้องกันสิ่งมีชีวิตในน้ำ
ค่าคะแนน | ระดับคุณภาพน้ำ |
9.5 ≤ WQI ≤ 10.0 | A: คุณภาพดีมาก |
8.0 ≤ WQI ≤ 9.5 | B: คุณภาพดี |
6.5 ≤ WQI ≤ 8.0 | C: คุณภาพปานกลาง |
4.5 ≤ WQI ≤ 6.5 | D: คุณภาพไม่ดี |
WQI ‹ 4.0 | E: คุณภาพไม่ดีมาก |
ที่มา : MRC Technical Paper No.60, 2016
4. การศึกษาผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคม
รวบรวมข้อมูลการศึกษาเศรษฐกิจ สังคม ด้านวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ความเปราะบาง และการปรับตัวในปัจจุบันที่อยู่ในพื้นที่ศึกษา และใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานประกอบการศึกษาและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ แนวทางในการศึกษาข้อมูลปฐมภูมิเป็นการสำรวจเชิงปริมาณ (Quantitative survey) โดยใช้แบบสอบถามที่ปรับปรุงเครื่องมือ SIMVA ให้เข้ากับวัตถุประสงค์การวิจัยและบริบทของพื้นที่ ประกอบด้วย
1) การสำรวจระดับหมู่บ้าน โดยผู้ให้ข้อมูลแบบเก็บข้อมูลหมู่บ้าน คือ ผู้ใหญ่บ้านหรือผู้นำหมู่บ้าน และ
2) การสำรวจระดับครัวเรือน โดยผู้ให้ข้อมูลแบบสอบถามครัวเรือน คือ หัวหน้าครัวเรือน ในกรณีที่ไม่พบหัวหน้าครัวเรือนให้ใช้แบบสอบถามกับสมาชิกอื่นในครัวเรือน ซึ่งเป็นผู้ที่สามารถให้ข้อมูลของครัวเรือนได้
5. การศึกษาผลกระทบด้านการให้บริการระบบนิเวศ
การศึกษาผลกระทบของการให้บริการระบบนิเวศจากการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขงในช่วงก่อน (ปี พ.ศ. 2558-2561) และหลังการดำเนินการเปิดใช้งานเขื่อน ไซยะบุรีอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2562 ถึงปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2563 การศึกษานี้ดำเนินการเก็บข้อมูลการสัมภาษณ์ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2563 ถึง เดือนมกราคม 2564 จากผู้ได้รับผลกระทบหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการใช้ประโยชน์ของระบบนิเวศแม่น้ำโขง ซึ่งกำหนดเกณฑ์การคัดเลือกกลุ่มประชากรที่มีพื้นที่ติดแม่น้ำโขงซึ่งมีชุมชนหนาแน่น มีการพึ่งพาการใช้ประโยชน์จากการให้บริการระบบนิเวศแม่น้ำโขงมีแนวโน้มได้รับความเสี่ยงจากผลกระทบข้ามพรมแดน และอยู่ในส่วนของแม่น้ำโขงตอนบนของประเทศไทยใกล้กับการพัฒนาเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขงสายประธาน ซึ่งประกอบด้วย 3 พื้นที่ ได้แก่
1) อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
2) อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย
3) อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม
การศึกษาได้ดำเนินการสุ่มสัมภาษณ์แบบเจาะจง (Purposive Sampling) จากผู้นำชุมชนและประชากรระดับครัวเรือน โดยใช้เครื่องมือแบบสอบถาม (ปรับปรุงจากเครื่องมือ แบบสอบถาม Social Impact Monitoring and Vulnerability Assessment (SIMVA) 2561
6. การประเมินตัวชี้วัดและแผนป้องกันแก้ไขและติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม
ดำเนินการโดยพิจารณาจากชุดข้อมูลต่าง ๆ จากการศึกษาติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน ของโครงการศึกษาฯ ซึ่งได้ดำเนินงานต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 ที่ผ่านมา ว่าควรนำมาใช้กำหนดเป็นตัวชี้วัดอะไร โดยประเมินว่า สามารถใช้บ่งชี้ สถานการณ์ ผลกระทบ และการตอบสนองของการเปลี่ยนแปลง ด้านทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจและสังคมของแม่น้ำโขงโดยเฉพาะในอาณาเขตของประเทศไทย และมีความเหมาะสมที่สมควรใช้ในระยะยาวอย่างต่อเนื่องในการติดตามประเมินผลกระทบข้ามพรมแดน ตามขอบเขตการดำเนินงาน TOR ได้พิจารณาประเมินตัวชี้วัดว่า มีความสอดคล้องกับกรอบงานตัวชี้วัดสำหรับลุ่มน้ำโขงที่กำหนดโดยคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง เพื่อให้การกำหนดตัวชี้วัดของการติดตามตรวจสอบผลกระทบข้ามพรมแดนดังกล่าว มีความเชื่อมโยงกับตัวชี้วัดด้านการบริหารจัดการลุ่มน้ำของประเทศไทยในมิติต่าง ๆ ตั้งแต่ด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม กำหนดให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) โดยในกรอบงานตัวชี้วัดของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กำหนดไว้ 3 ระดับ แสดงดังรูปที่ 2 ได้แก่
1) ตัวชี้วัดยุทธศาสตร์ (Strategic Indicators)
2) ตัวชี้วัดการประเมิน (Assessment Indicators)
3) ดัชนีในการติดตาม (Monitoring Parameters)
รูปที่ 2 กรอบงานตัวชี้วัดของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง 3 ระดับ
ที่มา : รายงาน Mekong River Basin Indicator Framework for informing the management of the Mekong River Basin 2019
7. การจัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเผยแพร่ผลการศึกษา
การจัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเผยแพร่ผลการศึกษา ในพื้นที่ศึกษา โดยประกอบด้วยผู้แทนจาก 8 จังหวัดในพื้นที่ศึกษา เพื่อส่งเสริมการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคประชาชนและภาครัฐในการติดตามตรวจสอบฯ โดยยังคงเน้นการให้ความรู้ข้อมูลจากการศึกษาที่ถูกต้อง น่าเชื่อถือ และให้ประชาชนได้มีเวทีแสดงความเห็น และเกิดกระบวนการเรียนรู้ การออกแบบโจทย์คำถาม การใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น การติดตามและเฝ้าระวัง การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร เพื่อให้ได้ผลการศึกษาที่มีพื้นฐานจากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับ และนำไปสู่การพัฒนาแนวทางการศึกษาผลกระทบและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนจากโครงการไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขงสายประธาน ทั้งในปัจจุบันและอนาคตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น